วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ดอกดาวดึงส์

ชื่อวิทยาศาสตร์      Gloriosa superba
ตระกูล                 
LILIACEAE
ชื่อสามัญ             
Gloriosa, Glory, Climbing lily.
ลักษณะทั่วไป

ต้น             ดองดึงเป็นพรรณไม้ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน และมีลำต้นหรือเถาเลื้อยเกาะต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้ ๆ
                 และสามารถเลื้อยเกาะต้นไม้อื่นได้สูงประมาณ 3 เมตร ส่วนหัวที่อยู่ใต้ดินมีลักษณะเด่น
                 อย่างหนึ่งคือ บริเวณส่วนปลายของหัวจะมีจุดเจรญสำหรับต้นใหม่ ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง
                 อย่าให้ปลายของหัวหรือเหง้าหัก เพราะจะทำให้ต้นเสียหายและจะไม่งอกต่อไปได้
ใบ             ลักษณะของใบคล้ายรูปหสก ตรงปลายใบจะมีขอเกาะหรือหนวดสำหรับเกี่ยวพันกับต้นไม้
                 อื่น ตัวใบมีสีเขียวเข้ม เป็นมัน ขอบใบไม่มีจัก ใบเรียบ

ดอก           ลักษณะของดอกจะเป็นดอกเดี่ยว กลีบดอกจะแยกออกจากกันขอบของกลีบดอกบิดเป็น
                 เกลียว มีเกสรแยกออกจากโคนกลีบดอกด้านนอกดอกหนึ่งจะมีเกสรประมาณ 6-7 อัน สี
                 ของดอกจะมี 2 สี คือสีเหลืองและสีแดงสดปริมาณสีทั้งสองของดอกจะเปลี่ยนแปลงไปตาม
                 อายุของการบานของแต่ละดอก ยิ่งดอกบานนานก็ยิ่งมีสีแดงมากขึ้นกว่าดอกตูมหรือดอกที่
                 เพิ่งบาน

ฤดูออกดอก
จะออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดฝนจะให้ดอกดกมาก

ดาวกระจาย : ความงามจากอีกฟากโลก



  ดาวกระจายมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cosmos lipin-natas Cav. อยู่ในวงศ์ Compositae เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน ลำต้นสูงราว 1 เมตร
ใบ ออกตามลำต้น โดยจะออกตรงข้ามกันไป ลักษณะใบเป็นเส้นเล็กๆ ตามเส้นใบ
ดอก เป็นดอกเดี่ยว อยู่บนก้านยาว ออกเป็น กลุ่มๆ กระจายออกไปเป็นทรงพุ่ม แต่ละดอกมีกลีบดอก 8 กลีบ ส่วนใหญ่เป็นกลีบชั้นเดียว ปลายกลีบดอกเป็นซี่หยัก ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 เซนติเมตร
กลีบดอกดาวกระจายปกติมีสีเหลือง แต่ปัจจุบันดาวกระจายพันธุ์ใหม่ๆ มีกลีบดอกสีต่างๆ มากมาย เช่น ขาว ชมพู แดง ม่วง แสด และสีเหลือง ขนาดของลำต้นก็มีขนาดต่างๆ กัน ทั้งเล็กลงและใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

  ดาวกระจายมีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโก แล้วจึงกระจายไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทยไม่มีบันทึกว่าเริ่มปลูกดาวกระจายครั้งแรกเมื่อใด แต่คงหลังปี พ.ศ.2416 เพราะไม่มีชื่อในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ปีพ.ศ. 2416
  สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับดาวกระจายก็คือ ชื่อทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย มีความหมายคล้ายคลึงกัน และแสดงถึงจินตนาการอันกว้างไกล กล่าวคือ ชื่อสกุลของดาวกระจาย (COSpb161805.jpgMOS) นั้น หมายถึงจักรวาล และดวงดาวทั้งหมดบนฟากฟ้า ส่วนในภาษาไทย ดาวกระจายนั้น หนังสืออักขราภิธานศรับท์ให้ความหมายไว้ว่า "คือดวงดาวทั้งปวง ที่ขึ้นรายเรียงกันเกลื่อนกลาด กระจายไปนั้น"”

  จากความหมายทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย จะมองเห็นจินตนาการของมนุษย์ เมื่อมองเห็นดอก ดาวกระจายบานไสวอยู่เต็มต้น เป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากไม้ดอกชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน  ดาวกระจายเป็นไม้ดอกที่ชอบกลางแจ้ง แดดจัด ปลูกง่าย โตเร็ว ขยายพันธุ์โดยเมล็ด เป็นไม้ดอกที่ปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทยได้ดียิ่งขึ้นชนิดหนึ่ง จนอาจนำเมล็ดไปหว่านลงบนพื้นดินได้ โดยไม่ต้องไถพรวนใดๆ เลยก็ได้
เมื่อมีความชื้นพอเหมาะเมล็ดก็จะงอกงามแข่งกับวัชพืชต่างๆ ได้เองโดยไม่ต้องเข้าไปดูแลช่วยเหลือ และเมื่อดาวกระจาย
ดอกดาวกระจายเป็นไม้ดอก ทรงต้นมีทั้งเตี้ยและสูง ปลูกง่าย ทุกฤดูกาล นิยมปลูกโดย หว่านเมล็ด ลงในแปลงหรือหยอดเมล็ดลงในหลุม มีหลายสี ขาว ชมพู แดง ควรปลูกในดินร่วนซุย ความชื้นปานกลาง และมีแสงแดดจัด

ดาวเรือง

ไฟล์:Dawreug.jpg 
  ดาวเรือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tagetes erecta L.; ชื่อสามัญ: Marigold) นิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทยได้แก่พันธุ์ซอเวอร์เรน (soverign) นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆที่นำเข้ามาได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆอีกหลายพันธุ์ 
  ดาวเรืองขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดเป็นหลัก อาจใช้การปักชำได้ แต่ต้นที่ได้จะให้ดอกที่มีขนาดเล็กกว่า

ดอกไม้สัญลักษณ์
การใช้ประโยชน์
  ดอกดาวเรืองใช้ร้อยพวงมาลัยชนิดต่างๆเพื่อการบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ กลีบดอกดาวเรืองมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า xanthophyll สูง จึงมีการปลูกเพื่อเก็บดอกเพื่อเอาไปเป็นส่วนผสมของอาหารไก่ไข่เพื่อให้ไข่แดงมีสีแดงสวยทดแทนสารสังเคราะห์
ดาวเรืองสะสมสารหนูได้ 42% ในใบ[1] จึงมีประโยชน์ในการฟื้นฟูดินที่ปนเปื้อนสารหนู

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

จำปี

จำปี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Michelia alba DC.; ชื่อสามัญ: White Champaka) มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของจีน มาเลเซียและอินโดนีเซีย แบ่งเป็นสปีชีส์ได้ประมาณ 50 ชนิด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ดอกจำปีไฟล์:Michelia alba (Campii).jpg  เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่องถี่ กิ่งเปราะ หักง่าย เรือนยอดรูปกรวยทึบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบมีรูปรี ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ยาว 20 เซนติเมตรกว้าง 8 เซนติเมตร ออกดอกเดี่ยวที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว แคบเรียบ มี 8-12 กรีบ ยาว 4-6 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม
  ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง กิ่งมีขนสีเทา ใบเดี่ยวเรียงเวียน หูใบยาวถึง 2.5 เซนติเมตร มีขน ก้านใบยาว 1.5-2 เซนติเมตร ใบรูปใบหอกแกมรูปไข่ถึงแกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 5.5-16 เซนติเมตร ยาว 15.35 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม ยาว 3 เซนติเมตร โคนใบสอบเรียว ก้านดอกย่อย ยาว 0-2 เซนติเมตร ดอกมีจำนวนมาก สีขาว มีกลิ่นหอม กลีบรวม มี 12 กลีบ (อาจพบมี 8 กลีบ) รูปขอบขนาน ปลายแหลมขนาดใกล้เคียงกัน ยาว 3-3.5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ มีจำนวนมาก 20-32 อัน เกสรเพศเมีย ก้านชูเกสร ยาว 0.5 เซนติเมตร รังไข่มี 10-13 อัน (อาจมี 4 อัน) แยกกัน ผิวเกลี้ยงหรือมีขนสีน้ำตาล ไม่ติดผล
  จำปี อาจเป็นลูกผสมที่เกิดตามธรรมชาติของ Michelia champaca Blume และ M. Blume ในมาเลเซียหรือชวา เพราะมีลักษณะผสมระหว่าง 2 ชนิดนี้

 สรรพคุณ
ดอกแก้เป็นลม แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับน้ำดี บำรุงโลหิต

จำปา




ไฟล์:Magnolia1.jpgจำปา มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของจีน อินเดีย ไทย มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย และมีชื่อตามภาษาท้องถิ่นว่า จำปากอ (มลายู-ใต้) จำปาเขา จำปาทอง (นครศรีธรรมราช) จำปาป่า (สุราษฎร์ธานี)จำปาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงประมาณ 20 ฟุตมีสีน้ำตาลปนขาวเล็กน้อย กิ่งเปราะ ใบสีเขียวใหญ่เป็นมัน ดอกเริ่มแย้มจะมีกลิ่นหอมในช่วงพลบค่ำ ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะมีปากในช่วงฤดูฝน ปลูกนานกว่า 3 ปี จึงจะออกดอก จำปาเป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบที่น้ำขังจะทำให้ตายได้ ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วน โปร่ง อุดมสมบูรณ์ และจำปาเป็นไม้ที่มีประโยชน์ทางด้านสมุนไพร

ลักษณะวิสัย เป็นใบเดี่ยว รูปรีแกมขอบขนานกว้าง 4-10 เซนติเมตร ยาว 10-25 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ เนื้อใบบาง ใบอ่อนมีขน ใบแก่เกลี้ยง เส้นใบ 16-20 คู่ ก้านใบยาว 2-4 เซนติเมตร โคนก้านใบป่อง

ลักษณะดอก เป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองอมส้ม ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกตั้งขึ้น ดอกตูมรูปกระสวย มีแผ่นสีเขียวคลุมอยู่ และจะหลุดไปเมื่อดอกบาน กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีลักษณะเหมือนกัน มีจำนวน 12-15 กลีบ แต่ละกลีบรูปยาวรีแกมรูปหอกกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 4-4.5 เซนติเมตร กลิ่นหอมแรง ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมยามพลบค่ำ ในเช้าวันต่อมากลีบดอกจะกางออกจากกัน และร่วงหล่นในช่วงเวลาเย็น ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะมีมากช่วงต้นฤดูฝน

สรรพคุณ
ใบ - แก้โรคเส้นประสาทพิการ แก้ป่วงของทารก
ดอก - แก้วิงเวียนอ่อนเพลีย หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ กระจายโลหิต
เปลือกต้น - ฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้เสมหะในลำคอเกิด
เปลือกราก - เป็นยาถ่าย ทำให้ประจำเดือนมาปกติ รักษาโรคปวดตามข้อ
กระพี้ - ถอนพิษผิดสำแดง
เนื้อไม้ - บำรุงโลหิต
ราก - ขับโลหิตสตรีที่อยู่ในเรือนไฟให้ตก
  

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

บัววิกตอเรีย



ไฟล์:Flora victoriawlil.jpgบัววิกตอเรีย (Victoria waterlily) เป็นบัวในสกุลVictoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ดอกแรกบานจะมีสีขาว จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพู และเป็นสีแดงเรื่อในที่สุด บานเวลาใกล้ค่ำ หรือกลางคืน มีกลิ่นหอม และจะหุบในตอนสายของวันรุ่งขึ้น
  • บัววิกตอเรีย อมาโซนิกา (Victoria amazonica) เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ บัววิกตอเรีย ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 3 เมตร ก้านบัวยาว 7-8 เมตร พบอยู่ทั่วไปตามหนองน้ำตื้น ๆ ของแม่น้ำอะเมซอน วันที่ออกดอกวันแรกจะมีสีขาว แต่พอเข้าวันที่สองจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู[1]
  • บัววิกตอเรีย สายพันธุ์อังกฤษ (Victoria cruziana) เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า คือมีเส้นผ่านสูนย์กลางราว 1.5 เมตร แต่มีขอบกระด้งสูงราว 1 คืบ ออกดอกในช่วงปลายฤดูร้อนต่อต้นฤดูฝน คือ ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน

บัวสาย

บัวสาย (อังกฤษ: water lily) ชื่อสกุล Nymphaea เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีลำต้นใต้ดินเป็นหัว หรือเหง้า ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อที่เจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด บางชนิดมีใบใต้น้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว มีขอบใบทั้งแบบเรียบ และแบบคลื่น ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียด หรืออาจจะไม่มขน ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีทั้งชนิดที่บานกลางคืน และบานกลางวัน บางชนิดมีกลิ่นหอม มีสีสันหลากหลายแตกต่างกันไป มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า "อุบลชาติ" แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อุบลชาติล้มลุก ได้แก่ บัวผัน บัวเผื่อน บัวสาย และจงกลนี ดอกจะชูพ้นน้ำ และขอบใบหยัก และอุบลชาติยืนต้น ได้แก่ บัวฝรั่ง ดอกจะเป็นรูปถ้วยลอยเหนือผิวน้ำ มีขอบใบเรียบ
  ภาพตัวอย่างบัวในกลุ่มบัวผันและบัวสาย

ไฟล์:Royal-purple.jpg
เพิ่มคำอธิบายภาพ
สุธาสิโนบล (Royal purple)

ไฟล์:Gloriosa.jpg
เพิ่มคำอธิบายภาพ
ทับทิมสยาม







ไฟล์:Plant NymphaeaHybrid Srivijaya.jpg
เพิ่มคำอธิบายภาพ
ศรีวิชัย

ไฟล์:Piyalaap.jpg
เพิ่มคำอธิบายภาพ
ปิยลาภ


ทิวลิป

  ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มีอยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส
 ที่มาของชื่อ
ไฟล์:Tulip - floriade canberra.jpg  แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” (จากเปอร์เชีย لاله, “lâleh”) เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้
คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็เป็นได้)

บัวหลวง

สายพันธ์บัวหลวง

เพิ่มคำอธิบายภาพ
  1. บัวพันธุ์ดอกสีชมพู ( บัวแหลมชมพู ) มีชื่อว่า ปทุม ปัทมา โกกระนต หรือ โกกนุต ดอกขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ ปลายเรียวสีชมพู กลีบดอกชั้นนอกมี 4-5 กลีบ รูปไข่มีขนาดเล็ดเรียงตัวกัน 2 ชั้น ส่วนกลางของกลีบมีรูปร่างโค้งป่อง ตรงกลางสีชมพูอมเขียว ส่วนกลีบดอกชั้นกลางและชั้นในสีชมพูเข้ม โคนกลีบดอกสีขาวนวล มีประมาณ 13-14 กลีบ เรียงตัวเป็นชั้น ประมาณ 3 ชั้น อยู่โดยรอบฐานดอก กลีบชั้นนอกและชั้นในมีสีและรูปร่างคล้ายชั้นกลางแต่เล็กกว่ากลีบในชั้นกลาง
   

เพิ่มคำอธิบายภาพ
 2. บัวหลวงพันธุ์ดอกสีขาว ( บัวแหลมขาว ) มีชื่อว่า บุณฑริก หรือ ปุณฑริก ดอกขนาดใหญ่เป็นรูปไข่ ปลายเรียว คล้ายบัวพันธุ์ปทุม ดอกมีสีขาวประกอบด้วยกลีบดอกชั้นนอกสีขาวอมเขียว ส่วนกลีบในชั้นกลางและชั้นในสีขาวปลายกลีบดอกสีชมพูเรื่อๆ รูปร่างของกลีบและการเรียงตัวของกลีบดอกคล้ายดอกบัวพันธุ์ปทุม

เพิ่มคำอธิบายภาพ
 3. บัวหลวงชมพูซ้อน ( บัวฉัตรชมพู ) มีชื่อว่า สัตตบงกช ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ทรงป้อม สีชมพู ประกอบด้วยกลีบนอกเป็นรูปรี มี 4-7 กลีบ กลีบเล็กเรียนซ้อนกันเป็นชั้น 2-3 ชั้น สีเขียวอมชมพู กลีบในสีชมพูตลอด ส่วนโคนกลีบที่ติดกับฐานรองดอกมีสีขาวอมเหลือง กลีบในมีประมาณ 12-16 กลีบ กลีบในชั้นนอกและชั้นในมีขนาดเล็กกว่าชั้นกลาง เป็นรูปไข่ที่มีส่วนกว้างอยู่ด้านบน เกสรตัวผู้ชั้นนอกๆ เป็นหมัน โดยมีก้านชูที่เป็นเกสรตัวผู้ที่เป็นแผ่นบางๆ สีชมพูคล้ายกลีบในแต่มีขนาดเล็กกว่า ไม่มีอับเรณู แต่ปลายกลีบมีส่วนยื่นออกมาที่มีฐานเรียวเล็ก ส่วนปลายพองใหญ่ มีสีขาวนวล

เพิ่มคำอธิบายภาพ
 4. บัวหลวงขาวซ้อน
( บัวฉัตรขาว ) มีชื่อว่า สัตตบุตย์ ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ทรงป้อม คล้ายบัวพันธุ์สัตตบงกช ดอกมีสีขาว ประกอบด้วยกลีบดอกสีเขียวอมขาว ส่วนกลีบชั้นในสีขาวตลอด ส่วนรูปทรงและการเรียงตัวของกลีบดอกคล้ายบัวพันธุ์สัตตบงกช
    

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

กุหลาบ

   กุหลาบ  มีชื่อวิทยาศาสตร์ Rosa hybrids ชื่อสามัญคือ กุหลาบ หรือ rose อยู่ในวงศ์: Rosaceae มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย

  ความสำคัญทางเศรษฐกิจ

กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่มากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันประมาณว่ามีพื้นที่การผลิตถึง 3,000 ไร่ เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน และค่าจ้างแรงงานต่ำ (แรงงานต่างชาติ) การผลิตกุหลาบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การผลิตกุหลาบในเชิงปริมาณ และการผลิตกุหลาบเชิงคุณภาพ การผลิตกุหลาบเชิงปริมาณ หมายถึงการปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือปลูกในพื้นที่ราบ ซึ่งจะให้ผลผลิตมีปริมาณมาก แต่ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เช่น ดอกและก้านมีขนาดเล็ก มีตำหนิจากโรคและแมลง หรือการขนส่ง อายุการปักแจกันสั้น ทำให้ราคาต่ำ การผลิตชนิดนี้ต้องอาศัยการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ส่วนการผลิตกุหลาบในเชิงคุณภาพ นิยมปลูกในเขตภาคเหนือ และบนที่สูง โดยปลูกกุหลาบภายใต้โรงเรือนพลาสติก ในพื้นที่จำกัด มีการจัดการการผลิตและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ดี ใช้แรงงานที่ชำนาญ ทำให้กุหลาบที่ได้มีคุณภาพดี และปักแจกันได้นาน ตลาดของกุหลาบคุณภาพปานกลางถึงต่ำ (ตลาดล่าง) ในปัจจุบันถึงขั้นอิ่มตัว เกษตรกรขายได้ราคาต่ำมาก ส่วนตลาดของกุหลาบที่มีคุณภาพสูง (ตลาดบน) ผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ยังต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย เป็นต้น
ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกุหลาบคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากแต่จะต้องผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสม คือพื้นที่สูงมากกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หากปลูกในที่ราบจะได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ดังนั้นการผลิตกุหลาบมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่การผลิตบนที่สูงมากขึ้น

ราตรี


ดอกราตรี   ดอกราตรี
เพิ่มคำอธิบายภาพ
  • ชื่อวิทยาศาสตร์    Cestrum nocturnum Linn
  •  ตระกูล                Solanaceae
  •  ชื่อสามัญ            Oueen of The night
  • ชื่อท้องถิ่น           หอมดึก
  •  ถิ่นกำเนิด             หมู่เกาะอินดีส
ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นเป็นสีเทาอ่อนๆ แตกกิ่งก้านสาขามากพุ่มใบหนาต้นและใบมีกลิ่นเหม็นเขียวจัด ใบอ่อนบางรูปมนรี ปลายใบและโคนเรียวแหลม ขนาดใบยาวประมาณ 5-6 นิ้ว ออกดอกเป็นช่อสีเขาวอมเขียว ดอกมีขนาดเล็ก และดอกจับกลุ่มติดกันมากมายในช่อหนึ่งๆปลายดอกบานออกเป็นรูปดาวห้าแฉก  ดอกราตรีมีกลิ่นหอมจัดในเวลากลางคืน

แก้ว

 

ไฟล์:Orange Jasmine.JPG   

เพิ่มคำอธิบายภาพ
แก้ว (อังกฤษ: Orange Jessamine, Satin-wood, Cosmetic Bark Tree) เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ใบออกเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม
  ชื่อพื้นเมืองอื่น: กะมูนิง (มลายู ปัตตานี) แก้วขาว (กลาง) แก้วขี้ไก่ (ยะลา) แก้วพริก (เหนือ) แก้วลาย (สระบุรี) จ๊าพริก (ลำปาง) และ ตะไหลแก้ว (เหนือ)
  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แก้วเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ5-10 เมตรเปลือกลำต้นสีขาวปนเทาลำต้นแตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องตามยาวการแตกกิ่งก้านของทรงพุ่มไม่ค่อยเป็นระเบียบใบออกเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบใบเป็นมันสีเขียวเข้มขยี้ดูจะมีกลิ่นฉุนแรงขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยขนาดของใบกว้างประมาณ 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ3-6 เซนติเมตรออกดอกเป็นช่อใหญ่ช่อสั้นออกตามปลายกิ่งหรือยอดช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 5 - 10 ดอก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร ผลรูปไข่ รีปลายทู่ มีสีส้ม ภายในมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด


ปีบ

  ปีบ หรือ กาซะลอง (อังกฤษ: Indian cork tree; ชื่อวิทยาศาสตร์: Millingtonia hortensis Linn.f) เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 15 เมตร มีดอกรูปแตรสีขาวหอมอ่อนๆ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
  ปีบยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ กาดสะลอง (เหนือ) และ เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง กาญจนบุรี)
  ปีบเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอก กิ่งก้านมักจะย้อยลง เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาวลำต้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น เรียงเวียน ช่อแขนงด้านข้างมี 3-5 คู่ ปลายคี่ เรียงตรงข้าม ใบย่อยแขนงละ 2-4 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 4-8 ซม. ปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักมนหรือเว้าเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกมีสีขาวหรือชมพู มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนตามปลายกิ่ง ช่อดอกขนาดใหญ่ ยาว 10-35 ซม. มีขน กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก โคนติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยก 5 แฉก ปลายมนกว้างม้วนลง เป็นหลอดยาวปลาย 4 แฉก มี 1 กลีบที่ปลายเป็น 2 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 3.5-4 ซม. ผลแห้งแตก เป็นฝักแบนและตรง สีน้ำตาล หัวท้ายแหลม กว้าง 1.5-2.3 ซม. ยาว 25-30 ซม. เมล็ดแบนมีปีกบาง
  ดอกปีบ